บทนำ
{เจ้ากรรมนายเวร}
CUT
ร่างของผมถูกผ่อนลงบนเตียงนอนกว้างอย่างง่ายดาย
มันง่ายเกินไปจนผมเริ่มกลัวใจตัวเอง
ครั้นจะปัดป้องก็เหมือนกับว่าถูกสายตาแพรวพราวคู่นั้นดูดพลังงานไปจนหมด
ร่างกายผมอ่อนปวกเปียกเหมือนผักที่กำลังจะถูกเก็บทิ้งจากแผงในตลาด
เขาจับผมคว่ำลง ก่อนที่น้ำแข็งอีกก้อนจะถูกลากไปตามแนวกระดูกสันหลัง
ความวูบวาบแล่นริ้วตั้งแต่ปลายเท้ายันก้านสมอง มือเย็นๆ วางลงบนก้นเมื่อน้ำแข็งละลายไปจนหมด
เขาค่อยๆ คลำแล้วขย้ำ
ส่วนล่างของผมมี 2 ความรู้สึก ข้างหน้าร้อนวูบวาบและกำลังตื่น
ส่วนข้างหลังมันวูบโหวงและวาบหวิวเกินกว่าจะบรรยายได้
“ยะ หยุ...” แอลกอฮอล์ทำให้สติสัมปชัญญะลดลง ผมไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน
ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงด้วยซ้ำ
แม่ง ไม่น่าดื่มเลยว่ะ รู้ตัวตอนนี้ก็เหมือนจะสายไปเสียแล้ว
“ผิวคุณสวยกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” เสียงแหบพร่าดังชิดที่ข้างหู
ขบเม้มอย่างหมั่นเขี้ยว ขณะที่มือข้างที่เคยวางอยู่บนก้นกำลังลากขึ้นมีที่แผ่นหลัง
เขาลูบไล้ ฟ้อนเฟ้น ก่อนจะประทับจูบที่ท้ายทอยซ้ำๆ
มันก็รู้สึกดีนะ แต่มึงจะเคลิ้มไปกับคนแปลกหน้าไม่ได้นะเสือ – ถ้าผมหยุดเขาได้ก็คงดี
ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกเป็นรองและหมดหนทางสู้
ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เสือผู้ชาญฉลาดอย่างผมจะรู้สึกจนตรอก เสือนะไม่ใช่หมา
แต่เขาคนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมา หมาตัวน้อยๆ ที่ถ้าเขาจะบีบก็คงตาย
และเขาก็บีบ
บีบนมกูเต็มมือเลย
ผมพยายามเปล่งเสียงร้อง
แต่ลำคอที่เหือดแห้งไม่มีทางส่งเสียงอะไรออกมาได้
“ดื่มน้ำซักหน่อยมั้ย”
ร่างของผมถูกพลิกให้นอนหงาย เขาลูบไล้ต้นขาก่อนจะค่อยๆ
แยกมันออกกว้างเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งในชุดคลุมอาบน้ำแทรกเข้ามาง่ายๆ
ฝ่ามือแกร่งข้างหนึ่งสร้างความรัญจวนด้วยการฟอนเฟ้นที่ต้นขา นิ้วมืออีกข้างหนึ่งบดคลึงที่ริมฝีปากแล้วสอดเข้ามาลูบไล้ด้านในให้ผมอ้าเผยอเรียวปากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มพึงใจ
เขาแลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากของผมให้ความรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำมันลงบนกองไฟ
ตัวผมเปรียบเสมือนกองไฟที่ในยามนี้เปลวเพลิงกำลังลุกโชน
ไม่ใช่--
สิ่งที่ถูกราดลงมาบนตัวผมนั้นไม่ใช่น้ำมัน แต่มันเป็นน้ำผึ้งต่างหาก
ผมสัมผัสได้ถึงความหวานของน้ำเชื่อมเมื่อความฉ่ำชื้นถูกส่งเข้ามาภายในโพรงปาก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันให้ความรู้สึกดีมากจนอดที่จะส่งลิ้นไปสัมผัสมันไม่ได้เลย
ความซ่านสุขโอบล้อมตัวของผม มันฉุดรั้งให้จมลึกลงไป
ทั้งฝ่ามือที่กำลังฟอนเฟ้นเรือนกาย เรียวปากที่กำลังป้อนความหวานรสเลิศ
ความแข็งขืนที่บดเบียดกันที่ส่วนกลางกายเมื่อร่างกายแนบชิด
ทั้งหมดนั้นมันดีมากอย่างที่คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธมัน
อื้อ...
เมื่อลำคอที่แห้งผากถูกหล่อเลี้ยงด้วยความฉ่ำชื้นเสียงที่บ่งบอกว่าผมกำลังรู้สึกดีเพียงใดก็ดังลอดจากเรียวปากที่กำลังบดเบียดกันอย่างร้อนแรง
เขาผละออกและเป็นผมเองที่โน้มลำคอแกร่งให้ลงมามอบความหวานให้กันอีกหากแต่เขาทำให้ผมผิดหวัง
“ใจเย็นเด็กดี”
เสียงกระซิบดังชิดเรียวปากชุ่มฉ่ำ
แล้วใบหน้าของผมก็ถูกบังคับให้แหงนเงยขึ้นเมื่อเรียวลิ้นร้อนลากจากปลายคางลงไปที่ลำคอ
“ผมขอกินคุณทั้งตัวเลยได้ไหม”
เขาว่าก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนผิวอ่อนตรงลำคอ
มันเจ็บแต่ก็แฝงไปด้วยความซ่านสยิวแบบที่ไม่เคยพบพาน
ความร้อนลามไปทั่วร่างกายเหมือนไฟลามทุ่งเมื่อปลายจมูก ริมฝีปาก
เรียวลิ้นและมือทำงานประสานกันเป็นอย่างดี
เขาพรมจูบแผ่นอกผมไปทุกซอกมุม
มือหนาก็บีบเคล้นฟ้อนเฟ้นราวกับต้องการประทับลายนิ้วมือเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
ผมรู้ว่าหน้าอกเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกแต่ไม่เคยรู้ว่ามันให้ความรู้สึกดีถึงเพียงนี้กระทั่งเขาบีบเค้นมัน
ใช้ปลายนิ้วสะกิดบริเวณปลายยอดจนมันแข็งคัด เขาฉาบมันด้วยน้ำหวานจากปลายลิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมแทบขาดใจ ผมดึงทึ้งผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมจนยับย่น
บิดร่างไปมาด้วยความซ่านเสียวที่แล่นพล่านไปทั่วทุกรูขุมขน
เสียงน่าอายถูกเปล่งออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความดังของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อปลายลิ้นร้อนลากลงมาที่แผ่นท้อง
หยอกล้อกับหลุมสะดือแล้วจึงค่อยไปหยุดที่ขอบกางเกงตัวสุดท้ายบนร่างของผม
เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับดวงตาหรี่ปรือของผม
ไม่นานหลังจากนั้นส่วนล่างที่กำลังร้อนรุ่มก็ถูกเปิดเผย
ผมอายมากจนต้องหลับตาลง หากยิ่งหลับตาความรู้สึกที่ได้รับจากปลายลิ้นซึ่งกำลังเล็มเลียที่ซอกขาด้านในกลับยิ่งชัดเจน
ร้อนไปหมด ซ่านเสียวจนอยากจะดึงทึ้งทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ให้ขาดวิ่น
สะโพกของผมลอยสูงขึ้นเมื่อน้ำหวานจากปลายลิ้นของเขาถูกเคลือบลงบนเสือใหญ่ที่กำลังขยับขยาย
ส่วนปลายของมันปวดร้าวและสั่นระริกรับความนุ่มนิ่มที่ตวัดคล้ายกับกำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ช่างเป็นผลงานศิลปะที่ซ่านสยิวเสียเหลือเกิน
การถูกปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นทำให้สติที่ไม่ค่อยมีล่องลอยไปไกลแสนไกล
ผมแหงนเงยใบหน้าขึ้น เสียงครวญครางที่ไม่คิดว่าจะใช่ของตนดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อตัวตนถูกครอบครองด้วยโพรงปากฉ่ำชื้น
เขาตวัดลิ้นเหมือนกำลังวาดพู่กันลงบนผืนผ้าใบ ดูดอมเหมือนกับของที่อยู่ในปากคือไอศกรีมรสเลิศ
การปรนเปรอที่ไม่ผ่อนปรนทำให้ความแข็งขืนนั้นค่อยๆ พองตัว ผมกำลังจะปริแตก
อารมณ์กำลังพุ่งทะยานถ้าเขาผละออกในตอนนี้ผมต้องตายแน่ๆ ผมเลื่อนมือที่เคยวางอยู่บนไหล่ไปยังศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีเข้มของเขา
กดเอาไว้ขณะยกสะโพกขึ้นรับความวาบหวามที่เดินมาจนถึงปลายทาง
พลุไฟนับพันดังขึ้นในหัว มันสว่างวาบชั่วครู่หนึ่งแล้วจึงดับลง
ร่างกายปวกเปียกจากความสุขสมของผมถูกคร่อมทับอีกครั้ง เมื่อหรี่ดวงตาปรือปรอยมองก็เห็นว่าเขากำลังคลายปมเสื้อคลุมแล้วรั้งมันออกเผยเรือนร่างงดงามสมชาย
ผมยกมือขึ้นดันกล้ามท้องของเขา บอกด้วยการกระทำว่า – พอแล้ว
แต่เหมือนเขาจะเข้าใจเจตนาของผมผิดไปเมื่อเขาจับมือผมแล้วพาลากต่ำลงไปยังร่างกายส่วนล่างที่เปลือยเปล่า
ผมชักมือออกเหมือนเจอของร้อนแต่เขาก็ส่ายหน้าแล้วอ้อนผมด้วยแววตา
เชื้อไฟที่ยังไม่มอดดับทำให้ผมกลายเป็นคนว่าง่าย
ผมลองแตะมันอีกครั้งสร้างความคุ้นชินแล้วจึงจับมันไว้เต็มมือ
“อย่างนั้น เด็กดี มือคุณ...” เขาสูดหายใจเขาแล้วผ่อนออก
ทุกจังหวะการรูดรั้งเรียกเสียงฮึมฮัมให้ดังลอดออกมาจากลำคอแกร่ง
ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ซ่านสยิวของเขาทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว เสือใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกก็ปึ๋งปั๋งขึ้นมาอีกครั้ง
เขาโน้มใบหน้าลงมามอบจุมพิตให้กับผม ดูดดึงเรียวลิ้นพร้อมๆ
กับมือใหญ่ที่กอบกุมและรูดรั้งให้ผมเช่นกัน
พลุไฟกำลังจะถูกจุดอีกครั้ง ขณะที่มือของผมทำหน้าที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
และไฟก็ถูกดับลงทั้งที่มันกำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเมื่อเขาหยุดทุกการสัมผัส
ทั้งยังรั้งมือของผมไว้
“พอก่อน ผมอยากสัมผัสคุณมากกว่านี้”
มากกว่านี้? ยังใกล้ได้มากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ
ผมมุ่นคิ้วมองเมื่อเขาส่งนิ้วชี้และนิ้วกลางมาลูบไล้บดคลึงที่ริมฝีปากก่อนจะสอดเข้ามาให้ผมใช้เรียวลิ้นตวัดเลียมันจนชุ่มฉ่ำ
เขายิ้มพอใจก่อนจะมอบจุมพิตให้กับผมอีกครั้ง
ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนก็ไม่ต่างจากแมงเม่าที่ถูกล่อด้วยดวงไฟสวยๆ
กระทั่งข้างหลังที่ไม่เคยถูกแตะต้องถูกลูบวนด้วยนิ้วที่เคลือบด้วยน้ำลายของผมเอง
กลัว-- แต่อารมณ์รักที่ถูกปลุกเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ผมค่อยๆ
ขยับเรียวขาให้กว้างออก เพียงนิ้วเดียวที่รุกล้ำเข้ามา ร่างกายผมก็แทบจะปริแตกแล้ว
มันคับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
และเมื่อนิ้วที่สองถูกแทรกเข้าไปผมก็รู้สึกราวกับว่ารอบกายผมไร้ซึ้งอากาศหายใจ
หากเขาไม่ช่วยต่อลมหายใจให้ผมคงได้ตายไปแล้วจริงๆ
แต่ใครเลยจะรู้ว่าความเจ็บปวดเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความหฤหรรษ์ได้เมื่อร่างกายยอมเปิดรับ
นิ้วเรียวยาวขยับเข้าออกเนิบช้าในคราแรกและเขาก็ค่อยๆ
เพิ่มความรัวเร็วขึ้นทีละระดับ
ไม่เคยรู้เลยว่าตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกดีได้เหมือนกัน
ท่อนขาของผมบิดเกร็ง พลุไฟในหัวถูกจุดอีกครั้ง
ในยามที่มันกำลังจะระเบิดเขากลับดับมันด้วยการถอนนิ้วออกแล้วขยับลุกนั่ง
ขาทั้งสองข้างของผมถูกวางไว้บนหน้าขาของเขา มือหนาลูบไล้ตัวตนที่กำลังแข็งขืน เขาฉีกซองพลาสติกด้วยฟันคมแล้วจึงครอบมันลงบนส่วนที่กำลังขยับขยาย
รูดรั้งไม่กี่ทีแล้วจึงขยับมาจดจ่อที่ช่องทางของผมซึ่งกำลังร้อนผ่าว
เพียงเขาดุนดันเพื่อพยายามจะเข้ามาความเจ็บปวดก็มาเยือนพร้อมกับความซ่านเสียวที่แยกไม่ออกเลยว่าความรู้สึกใดมีมากกว่า
เขาปลอบโยนผมด้วยการก้มลงวาดปลายลิ้นลงบนยอดอก รูดรั้งตัวตนของผมถี่ๆ
เมื่อร่างกายกำลังจะปริแตกเขาก็สอดแทรกเข้ามาในร่างกายของผม
มันคับแน่น จุกเสียด และเจ็บราวกับจะขาดใจ
ผมกอดรัดร่างเขาแน่น ขณะที่เขาเองก็พยายามดันสะโพกเข้ามาจนสุด
ริมฝีปากของผมถูกปรนเปรอด้วยลิ้นร้อนชื้น หลอกล่อให้จดจ่อกับความเร่าร้อนแสนหวาน
เขายกสะโพกขึ้นถอดถอนตัวตนออกมาเพียงครึ่งแล้วกดลงมาแผ่วเบา ทำแบบนั้นซ้ำๆ
จนความเจ็บร้าวถูกแทนที่ด้วยความซ่านเสียว
มือที่บีบรัดแผ่นหลังของเขาค่อยๆ คลายออกพร้อมกับจุมพิตที่หยุดลง
เขาแนบหน้าผากกับหน้าผากของผม เราสบตากัน ดวงไฟเล็กๆ
ในดวงตาบอกความนัยน์ได้เป็นอย่างดีว่าเราพรักพร้อมสักแค่ไหน
เขาถอนตัวตนออกไปอีกครั้งให้ร่างของผมผวาตาม
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปาก
เขาส่ายหน้า “ฉันอยู่ตรงนี้เด็กดี”
จบคำตัวตนอันใหญ่โตก็จมลึกลงมาอีกครั้ง
อีกครั้งและอีกครั้งจนร่างกายของผมโยกไหวไปตามจังหวะอันเร่งเร้า
หยาดเหงื่อของเราผสมกันเป็นหนึ่งเดียว เครื่องปรับอากาศไม่สามารถต้านท้านความร้อนรุ่มของร่างกายนี้ได้
ผมกอดรัดเขาแน่น ขีดข่วนระบายความซ่านเสียวลงบนแผ่นหลังแกร่ง
ขณะที่เขาเองก็ตอกย้ำตัวตนลงมาในร่างผมด้วยจังหวะอันหนักหน่วงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เสียงร่างกายเสียดสี
เสียงครวญครางที่บ่งบอกถึงความซ่านสุขดังก้องอยู่ในห้องกว้างที่เปิดไฟสว่างโร่
ยิ่งใกล้เส้นขัยมากเท่าไหร่
จังหวะการโยกไหวก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นมากเท่านั้น
พลุไฟในหัวผมถูกจุดอีกครั้ง
“นายจำฉันไม่ได้เหรอทิกเกอร์” ไฟในกายเกือบจะมอดดับเมื่อชื่อในอดีตที่มีเพียงคนในครอบครัวและเพื่อนสมัยเด็กท่านั้นที่รู้ดังปนเสียงหอบให้ได้ยินที่ข้างหู
ใบหน้าหล่อเหลาดูดุดันเมื่อเส้นชัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ผมพยายามคิดขณะที่ร่างกายกำลังจะปริแตก
เขาคือใคร คนที่กำลังโยกไหวอยู่บนร่างของผมคือใครกันแน่
“ฉัน เอิ้นไง หนูเอิ้น จำไม่ได้เหรอ”
“เอิ้น...”
ผมทวนคำพร้อมกับจังหวะหนักหน่วงครั้งสุดท้ายที่เขาฝากฝังลงมา
เสียงพลุไฟดังก้องในหัว
ร่างกายของผมเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ
เขาที่เพิ่งปลดปล่อยเช่นกันทิ้งตัวซบหน้าลงกลางอกผม เสียงหัวใจอันถี่รัวของเราดังเป็นจังหวะเดียวกัน
▼▲▼▲▼
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น