วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Tiger heart :: บทนำ {เจ้ากรรมนายเวร}



บทนำ

{เจ้ากรรมนายเวร}


CUT


ร่างของผมถูกผ่อนลงบนเตียงนอนกว้างอย่างง่ายดาย มันง่ายเกินไปจนผมเริ่มกลัวใจตัวเอง ครั้นจะปัดป้องก็เหมือนกับว่าถูกสายตาแพรวพราวคู่นั้นดูดพลังงานไปจนหมด

ร่างกายผมอ่อนปวกเปียกเหมือนผักที่กำลังจะถูกเก็บทิ้งจากแผงในตลาด เขาจับผมคว่ำลง ก่อนที่น้ำแข็งอีกก้อนจะถูกลากไปตามแนวกระดูกสันหลัง ความวูบวาบแล่นริ้วตั้งแต่ปลายเท้ายันก้านสมอง มือเย็นๆ วางลงบนก้นเมื่อน้ำแข็งละลายไปจนหมด เขาค่อยๆ คลำแล้วขย้ำ

ส่วนล่างของผมมี 2 ความรู้สึก ข้างหน้าร้อนวูบวาบและกำลังตื่น ส่วนข้างหลังมันวูบโหวงและวาบหวิวเกินกว่าจะบรรยายได้

“ยะ หยุ...” แอลกอฮอล์ทำให้สติสัมปชัญญะลดลง ผมไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงด้วยซ้ำ

แม่ง ไม่น่าดื่มเลยว่ะ รู้ตัวตอนนี้ก็เหมือนจะสายไปเสียแล้ว

“ผิวคุณสวยกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” เสียงแหบพร่าดังชิดที่ข้างหู ขบเม้มอย่างหมั่นเขี้ยว ขณะที่มือข้างที่เคยวางอยู่บนก้นกำลังลากขึ้นมีที่แผ่นหลัง

เขาลูบไล้ ฟ้อนเฟ้น ก่อนจะประทับจูบที่ท้ายทอยซ้ำๆ

มันก็รู้สึกดีนะ แต่มึงจะเคลิ้มไปกับคนแปลกหน้าไม่ได้นะเสือ ถ้าผมหยุดเขาได้ก็คงดี

ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น รู้สึกเป็นรองและหมดหนทางสู้ ไม่บ่อยครั้งหรอกที่เสือผู้ชาญฉลาดอย่างผมจะรู้สึกจนตรอก เสือนะไม่ใช่หมา แต่เขาคนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมา หมาตัวน้อยๆ ที่ถ้าเขาจะบีบก็คงตาย และเขาก็บีบ

บีบนมกูเต็มมือเลย

ผมพยายามเปล่งเสียงร้อง แต่ลำคอที่เหือดแห้งไม่มีทางส่งเสียงอะไรออกมาได้

“ดื่มน้ำซักหน่อยมั้ย”

ร่างของผมถูกพลิกให้นอนหงาย เขาลูบไล้ต้นขาก่อนจะค่อยๆ แยกมันออกกว้างเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งในชุดคลุมอาบน้ำแทรกเข้ามาง่ายๆ

ฝ่ามือแกร่งข้างหนึ่งสร้างความรัญจวนด้วยการฟอนเฟ้นที่ต้นขา นิ้วมืออีกข้างหนึ่งบดคลึงที่ริมฝีปากแล้วสอดเข้ามาลูบไล้ด้านในให้ผมอ้าเผยอเรียวปากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มพึงใจ เขาแลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากของผมให้ความรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำมันลงบนกองไฟ

ตัวผมเปรียบเสมือนกองไฟที่ในยามนี้เปลวเพลิงกำลังลุกโชน

ไม่ใช่-- สิ่งที่ถูกราดลงมาบนตัวผมนั้นไม่ใช่น้ำมัน แต่มันเป็นน้ำผึ้งต่างหาก ผมสัมผัสได้ถึงความหวานของน้ำเชื่อมเมื่อความฉ่ำชื้นถูกส่งเข้ามาภายในโพรงปาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันให้ความรู้สึกดีมากจนอดที่จะส่งลิ้นไปสัมผัสมันไม่ได้เลย

ความซ่านสุขโอบล้อมตัวของผม มันฉุดรั้งให้จมลึกลงไป ทั้งฝ่ามือที่กำลังฟอนเฟ้นเรือนกาย เรียวปากที่กำลังป้อนความหวานรสเลิศ ความแข็งขืนที่บดเบียดกันที่ส่วนกลางกายเมื่อร่างกายแนบชิด ทั้งหมดนั้นมันดีมากอย่างที่คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธมัน

อื้อ...

เมื่อลำคอที่แห้งผากถูกหล่อเลี้ยงด้วยความฉ่ำชื้นเสียงที่บ่งบอกว่าผมกำลังรู้สึกดีเพียงใดก็ดังลอดจากเรียวปากที่กำลังบดเบียดกันอย่างร้อนแรง

เขาผละออกและเป็นผมเองที่โน้มลำคอแกร่งให้ลงมามอบความหวานให้กันอีกหากแต่เขาทำให้ผมผิดหวัง

“ใจเย็นเด็กดี”

เสียงกระซิบดังชิดเรียวปากชุ่มฉ่ำ แล้วใบหน้าของผมก็ถูกบังคับให้แหงนเงยขึ้นเมื่อเรียวลิ้นร้อนลากจากปลายคางลงไปที่ลำคอ

“ผมขอกินคุณทั้งตัวเลยได้ไหม” เขาว่าก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนผิวอ่อนตรงลำคอ มันเจ็บแต่ก็แฝงไปด้วยความซ่านสยิวแบบที่ไม่เคยพบพาน

ความร้อนลามไปทั่วร่างกายเหมือนไฟลามทุ่งเมื่อปลายจมูก ริมฝีปาก เรียวลิ้นและมือทำงานประสานกันเป็นอย่างดี

เขาพรมจูบแผ่นอกผมไปทุกซอกมุม มือหนาก็บีบเคล้นฟ้อนเฟ้นราวกับต้องการประทับลายนิ้วมือเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ

ผมรู้ว่าหน้าอกเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกแต่ไม่เคยรู้ว่ามันให้ความรู้สึกดีถึงเพียงนี้กระทั่งเขาบีบเค้นมัน ใช้ปลายนิ้วสะกิดบริเวณปลายยอดจนมันแข็งคัด เขาฉาบมันด้วยน้ำหวานจากปลายลิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมแทบขาดใจ  ผมดึงทึ้งผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมจนยับย่น บิดร่างไปมาด้วยความซ่านเสียวที่แล่นพล่านไปทั่วทุกรูขุมขน

เสียงน่าอายถูกเปล่งออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความดังของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อปลายลิ้นร้อนลากลงมาที่แผ่นท้อง หยอกล้อกับหลุมสะดือแล้วจึงค่อยไปหยุดที่ขอบกางเกงตัวสุดท้ายบนร่างของผม

เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับดวงตาหรี่ปรือของผม ไม่นานหลังจากนั้นส่วนล่างที่กำลังร้อนรุ่มก็ถูกเปิดเผย

ผมอายมากจนต้องหลับตาลง หากยิ่งหลับตาความรู้สึกที่ได้รับจากปลายลิ้นซึ่งกำลังเล็มเลียที่ซอกขาด้านในกลับยิ่งชัดเจน

ร้อนไปหมด ซ่านเสียวจนอยากจะดึงทึ้งทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ให้ขาดวิ่น

สะโพกของผมลอยสูงขึ้นเมื่อน้ำหวานจากปลายลิ้นของเขาถูกเคลือบลงบนเสือใหญ่ที่กำลังขยับขยาย ส่วนปลายของมันปวดร้าวและสั่นระริกรับความนุ่มนิ่มที่ตวัดคล้ายกับกำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ

ช่างเป็นผลงานศิลปะที่ซ่านสยิวเสียเหลือเกิน

การถูกปรนเปรอด้วยเรียวลิ้นทำให้สติที่ไม่ค่อยมีล่องลอยไปไกลแสนไกล ผมแหงนเงยใบหน้าขึ้น เสียงครวญครางที่ไม่คิดว่าจะใช่ของตนดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อตัวตนถูกครอบครองด้วยโพรงปากฉ่ำชื้น เขาตวัดลิ้นเหมือนกำลังวาดพู่กันลงบนผืนผ้าใบ ดูดอมเหมือนกับของที่อยู่ในปากคือไอศกรีมรสเลิศ การปรนเปรอที่ไม่ผ่อนปรนทำให้ความแข็งขืนนั้นค่อยๆ พองตัว ผมกำลังจะปริแตก

อารมณ์กำลังพุ่งทะยานถ้าเขาผละออกในตอนนี้ผมต้องตายแน่ๆ ผมเลื่อนมือที่เคยวางอยู่บนไหล่ไปยังศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีเข้มของเขา กดเอาไว้ขณะยกสะโพกขึ้นรับความวาบหวามที่เดินมาจนถึงปลายทาง

พลุไฟนับพันดังขึ้นในหัว มันสว่างวาบชั่วครู่หนึ่งแล้วจึงดับลง

ร่างกายปวกเปียกจากความสุขสมของผมถูกคร่อมทับอีกครั้ง เมื่อหรี่ดวงตาปรือปรอยมองก็เห็นว่าเขากำลังคลายปมเสื้อคลุมแล้วรั้งมันออกเผยเรือนร่างงดงามสมชาย

ผมยกมือขึ้นดันกล้ามท้องของเขา บอกด้วยการกระทำว่า พอแล้ว แต่เหมือนเขาจะเข้าใจเจตนาของผมผิดไปเมื่อเขาจับมือผมแล้วพาลากต่ำลงไปยังร่างกายส่วนล่างที่เปลือยเปล่า ผมชักมือออกเหมือนเจอของร้อนแต่เขาก็ส่ายหน้าแล้วอ้อนผมด้วยแววตา

เชื้อไฟที่ยังไม่มอดดับทำให้ผมกลายเป็นคนว่าง่าย ผมลองแตะมันอีกครั้งสร้างความคุ้นชินแล้วจึงจับมันไว้เต็มมือ

“อย่างนั้น เด็กดี มือคุณ...” เขาสูดหายใจเขาแล้วผ่อนออก ทุกจังหวะการรูดรั้งเรียกเสียงฮึมฮัมให้ดังลอดออกมาจากลำคอแกร่ง

ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ซ่านสยิวของเขาทำให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว เสือใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกก็ปึ๋งปั๋งขึ้นมาอีกครั้ง

เขาโน้มใบหน้าลงมามอบจุมพิตให้กับผม ดูดดึงเรียวลิ้นพร้อมๆ กับมือใหญ่ที่กอบกุมและรูดรั้งให้ผมเช่นกัน

พลุไฟกำลังจะถูกจุดอีกครั้ง ขณะที่มือของผมทำหน้าที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ และไฟก็ถูกดับลงทั้งที่มันกำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเมื่อเขาหยุดทุกการสัมผัส ทั้งยังรั้งมือของผมไว้

“พอก่อน ผมอยากสัมผัสคุณมากกว่านี้”

มากกว่านี้? ยังใกล้ได้มากกว่านี้อีกอย่างนั้นหรือ

ผมมุ่นคิ้วมองเมื่อเขาส่งนิ้วชี้และนิ้วกลางมาลูบไล้บดคลึงที่ริมฝีปากก่อนจะสอดเข้ามาให้ผมใช้เรียวลิ้นตวัดเลียมันจนชุ่มฉ่ำ เขายิ้มพอใจก่อนจะมอบจุมพิตให้กับผมอีกครั้ง

ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตนก็ไม่ต่างจากแมงเม่าที่ถูกล่อด้วยดวงไฟสวยๆ กระทั่งข้างหลังที่ไม่เคยถูกแตะต้องถูกลูบวนด้วยนิ้วที่เคลือบด้วยน้ำลายของผมเอง

กลัว-- แต่อารมณ์รักที่ถูกปลุกเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ผมค่อยๆ ขยับเรียวขาให้กว้างออก เพียงนิ้วเดียวที่รุกล้ำเข้ามา ร่างกายผมก็แทบจะปริแตกแล้ว มันคับแน่นจนแทบหายใจไม่ออก และเมื่อนิ้วที่สองถูกแทรกเข้าไปผมก็รู้สึกราวกับว่ารอบกายผมไร้ซึ้งอากาศหายใจ หากเขาไม่ช่วยต่อลมหายใจให้ผมคงได้ตายไปแล้วจริงๆ

แต่ใครเลยจะรู้ว่าความเจ็บปวดเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความหฤหรรษ์ได้เมื่อร่างกายยอมเปิดรับ นิ้วเรียวยาวขยับเข้าออกเนิบช้าในคราแรกและเขาก็ค่อยๆ เพิ่มความรัวเร็วขึ้นทีละระดับ

ไม่เคยรู้เลยว่าตรงนั้นก็ให้ความรู้สึกดีได้เหมือนกัน

ท่อนขาของผมบิดเกร็ง พลุไฟในหัวถูกจุดอีกครั้ง ในยามที่มันกำลังจะระเบิดเขากลับดับมันด้วยการถอนนิ้วออกแล้วขยับลุกนั่ง ขาทั้งสองข้างของผมถูกวางไว้บนหน้าขาของเขา มือหนาลูบไล้ตัวตนที่กำลังแข็งขืน เขาฉีกซองพลาสติกด้วยฟันคมแล้วจึงครอบมันลงบนส่วนที่กำลังขยับขยาย รูดรั้งไม่กี่ทีแล้วจึงขยับมาจดจ่อที่ช่องทางของผมซึ่งกำลังร้อนผ่าว

เพียงเขาดุนดันเพื่อพยายามจะเข้ามาความเจ็บปวดก็มาเยือนพร้อมกับความซ่านเสียวที่แยกไม่ออกเลยว่าความรู้สึกใดมีมากกว่า

เขาปลอบโยนผมด้วยการก้มลงวาดปลายลิ้นลงบนยอดอก รูดรั้งตัวตนของผมถี่ๆ เมื่อร่างกายกำลังจะปริแตกเขาก็สอดแทรกเข้ามาในร่างกายของผม

มันคับแน่น จุกเสียด และเจ็บราวกับจะขาดใจ

ผมกอดรัดร่างเขาแน่น ขณะที่เขาเองก็พยายามดันสะโพกเข้ามาจนสุด ริมฝีปากของผมถูกปรนเปรอด้วยลิ้นร้อนชื้น หลอกล่อให้จดจ่อกับความเร่าร้อนแสนหวาน เขายกสะโพกขึ้นถอดถอนตัวตนออกมาเพียงครึ่งแล้วกดลงมาแผ่วเบา ทำแบบนั้นซ้ำๆ จนความเจ็บร้าวถูกแทนที่ด้วยความซ่านเสียว

มือที่บีบรัดแผ่นหลังของเขาค่อยๆ คลายออกพร้อมกับจุมพิตที่หยุดลง

เขาแนบหน้าผากกับหน้าผากของผม เราสบตากัน ดวงไฟเล็กๆ ในดวงตาบอกความนัยน์ได้เป็นอย่างดีว่าเราพรักพร้อมสักแค่ไหน

เขาถอนตัวตนออกไปอีกครั้งให้ร่างของผมผวาตาม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปาก

เขาส่ายหน้า “ฉันอยู่ตรงนี้เด็กดี”

จบคำตัวตนอันใหญ่โตก็จมลึกลงมาอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งจนร่างกายของผมโยกไหวไปตามจังหวะอันเร่งเร้า หยาดเหงื่อของเราผสมกันเป็นหนึ่งเดียว เครื่องปรับอากาศไม่สามารถต้านท้านความร้อนรุ่มของร่างกายนี้ได้ ผมกอดรัดเขาแน่น ขีดข่วนระบายความซ่านเสียวลงบนแผ่นหลังแกร่ง ขณะที่เขาเองก็ตอกย้ำตัวตนลงมาในร่างผมด้วยจังหวะอันหนักหน่วงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เสียงร่างกายเสียดสี เสียงครวญครางที่บ่งบอกถึงความซ่านสุขดังก้องอยู่ในห้องกว้างที่เปิดไฟสว่างโร่

ยิ่งใกล้เส้นขัยมากเท่าไหร่ จังหวะการโยกไหวก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นมากเท่านั้น

พลุไฟในหัวผมถูกจุดอีกครั้ง

“นายจำฉันไม่ได้เหรอทิกเกอร์” ไฟในกายเกือบจะมอดดับเมื่อชื่อในอดีตที่มีเพียงคนในครอบครัวและเพื่อนสมัยเด็กท่านั้นที่รู้ดังปนเสียงหอบให้ได้ยินที่ข้างหู

ใบหน้าหล่อเหลาดูดุดันเมื่อเส้นชัยอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ผมพยายามคิดขณะที่ร่างกายกำลังจะปริแตก

เขาคือใคร คนที่กำลังโยกไหวอยู่บนร่างของผมคือใครกันแน่

“ฉัน เอิ้นไง หนูเอิ้น จำไม่ได้เหรอ”

“เอิ้น...” ผมทวนคำพร้อมกับจังหวะหนักหน่วงครั้งสุดท้ายที่เขาฝากฝังลงมา

เสียงพลุไฟดังก้องในหัว ร่างกายของผมเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ เขาที่เพิ่งปลดปล่อยเช่นกันทิ้งตัวซบหน้าลงกลางอกผม เสียงหัวใจอันถี่รัวของเราดังเป็นจังหวะเดียวกัน

▼▲▼▲▼





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น