วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

LIGHT AND SHADE {Cut 21 : MARKJIN}




เฮือก!!
ผมหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องน้ำ หยุดสายตายที่มนุษย์กึ่งเปลือยซึ่งนอนคว่ำเท้าคางอยู่บนเตียงส่งสายตาปิ๊งๆ เชิญชวนมายังผม
ให้ตายเถอะ อ่อยขนาดนี้ อยากปล้ำกูหรืออยากให้กูปล้ำ
แต่ว่าก็ว่าเถอะ มาร์คไม่ว่าจะอยู่ในร่างมาร์กี้หรือร่างนี้ก็ทำให้ผมใจสั่นอยู่ดี เห็นไหม ใจอ่อนอีกแล้วว่ะ
เพื่อไม่ให้หัวใจอ่อนไหวไปกว่านี้ผมจึงเบือนหน้าหนีแล้วตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้แบบไม่มีพนักตรงหน้ากระจก ทำเป็นเช็ดเส้นผมเปียกชื้น แต่ถึงจะไม่ได้มองก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้ละสายตาไปจากผมเลยสักวินาที
อยากกินกูขนาดนั้นเชียว
“มาร์คช่วยนะ” ประโยคขอร้องก็ไม่ใช่ จะว่าประโยคคำสั่งก็ไม่เชิงเพราะมาร์คเดินมายืนซ้อนหลังแล้วดึงผ้าเช็ดตัวผืนเล็กในมือผมไปถือแล้วช่วยเช็ดเส้นผมให้อย่างเบามือ
บางครั้งที่นิ้วเรียวบังเอิญสัมผัสบริเวณต้นค ความรู้สึกเสียววาบก็โลดแล่นไปทั้งแนวสันหลัง โยกคอหนีแต่แม่งก็ยังตามมาลูบอยู่ได้จนต้องตะครุบมือซนแล้วตวัดสายตามอง
ปกติแม่งต้องเกรงใจผมนะ แต่พอกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แบบนี้ นอกจากไม่ยอมถอยห่างแล้วยังส่งสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยให้กันอีก
“จินยอง มาร์ครักจินยองนะ”
บอกเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องฝั่งจมูกลงบนเส้นผมกูหรอก มือนั่นอีก โยนผ้าทิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงว่างมาบีบไหล่กันแบบนี้
“รู้แล้ว”
“รักจริงๆ นะ ถึงแม้จินยองจะโหด โฉด ชั่ว แต่มาร์คก็รักนะครับ”
สาบานไหมว่ามันกำลังบอกรักไม่ได้หลอกด่า
“เมาหนักแล้วมึงอะ ไปนอนไป๊”
“จูบก่อน” ขอกันแบบนี้เลย เอาวะ กล้าขอก็กล้าให้ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้ว แค่จูบเองให้ได้อยู่แล้ว
ผมหมุนตัวเพื่อเผชิญหน้า จับไหล่ให้มาร์คโน้มลำตัวลงมาเพื่อประทับริมฝีปากแผ่วเบาแล้วผละออก หากเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ริมฝีปากถูกบดเบียดให้แนบชิดจนแทบหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวก่อนจะสอดแทรกความนุ่มหยุ่นที่ชื้นแฉะเข้ามาสำรวจในโพรงปาก
เมื่อปลายลิ้นแตะกันเพียงแผ่วเบา ความซ่านเสียวก็วิ่งพล่านไปทั้งร่าง
ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย เมื่อความแผ่วเบาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหยอกเย้า เกาะเกี่ยวจนน้ำหวานรสประหลาดผสานเป็นหนึ่งเดียว อาจเพราะเรียวลิ้นที่กำลังผลัดกันแตะต้องในโพรงปากกระตุ้นการผลิตน้ำหวาน มันไหลเลอะลงมาที่ปลายคางให้มาร์คผละออก เขาส่งเรียวลิ้นร้ายกาจไล่กวาดมันระเรื่อยลงมาที่ลำคอของผม
ผมแม่งก็ใจง่ายว่ะ เงยหน้าอำนวยความสะดวกให้เขาเฉยเลย
“จินยองโคตรหวานเลยนะ รู้ป่าว”
คำพูดนั้นดั่งมนต์สะกดให้ผมคล้อยตาม ส่งเรียวลิ้นออกไปสัมผัสกับส่วนเดียวกันที่ภายนอก
ไม่รู้หรอกว่ามันหวานจริงไหม แต่รู้สึกดีมากเลย
ผมรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนอากาศ สภาพเหมือนสิ่งของไร้น้ำหนักเมื่อลิ้นชื้นถูกดูดดึงคล้ายจะกลืนกิน ร่างทั้งร่างถูกดึงให้ยืนขึ้น และไม่นานหลังจากนั้นแผ่นหลังก็สัมผัสกับเตียงนอนนุ่มๆ ที่กว้างเพียงนอนคนเดียว
มาร์คคร่อมอยู่บนร่าง เขายังคงเฝ้ามอบจุมพิตให้ราวกับโหยหา
มือหนาสอดผ่านเข้าไปในเสื้อนอนตัวบาง ลูบไล้ที่ช่วงเอวลูบสูงขึ้นมาตามแนวสีข้าง
มาร์คผละริมฝีปากออก ปล่อยให้ผมหอบหายใจกอบโกยเอากากาศเข้าปอด เขาลากปลายจมูกลงไปที่ปลายคาง มอบจุมพิตแผ่วเบา ทำแบบนี้ซ้ำๆ บริเวณลำคอที่ผมแหงนเงยใบหน้าขึ้นให้เขามอบสัมผัสให้อย่างเต็มใจ
ก็รู้อยู่หรอกว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น หากบอกว่าเตรียมใจมาแล้วก็คงไม่ผิดนัก
สัมผัสของมาร์คแผ่วเบา ทว่าอ่อนหวาน อ่อนโยนแต่ก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อน
เสื้อของผมถูกรั้งออกพ้นศีรษะเมื่อแผ่นหลังลอยขึ้นจากฟูกนอน
มาร์ครั้งให้ผมขยับขึ้นไปนั่งบนหน้าขาแข็งแกร่ง ปลายจมูกยังคงคลอเคลียที่ลำคอแล้วดูดแรงๆ จนผมสะดุ้ง เขาลูบแผ่นหลังของผมเพื่อปลอบประโลม ลากฝ่ามือลงมาที่สะโพก สอดนิ้วผ่านขอบกางเกงแบบยางยืดเข้าไปสัมผัสผิว
“นุ่มมากเลยจินยอง” เขาบอกชิดแก้มแล้วกดจูบแรงๆ เมื่อกอบกุมก้นผมเอาไว้เต็มสองมือ
ผมกอดคอมาร์คเอาไว้ ความรู้สึกแปลกประหลาดวิ่งพล่านไปทั้งกาย ซ่านสยิวเสียจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้สัมผัสของมาร์คนำพาไป
“มาร์ค...” ผมร้องเรียกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อมือที่เคยวางไว้เฉยๆ ในคราแรกเริ่มลงน้ำหนักเป็นบีบขยำ
“ชอบที่มาร์คทำมั้ย” น้ำเสียงแหบพร่ายิ่งทำให้มีอารมณ์ ยิ่งเขาบีบขยำสิ่งที่เคยหลับใหลก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
ผมเห็นมาร์คยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเขาละใบหน้าออกห่าง ดวงตาที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนากวาดมองท่อนบนอันเปลือยเปล่าของผม เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
แม่ง! แค่มันเลียริมฝีปากผมก็เผลอทำตาม
มาร์คซุกซบใบหน้าที่แผ่นอก
ความเสียวซ่านวิ่งไปทั่วร่างกายผมอีกครั้งเมื่อจุมพิตแผ่วเบาประทับลงบนจุดเล็กๆ ที่ผมไม่เคยใส่ใจ มาร์คจูบมันซ้ำๆ ขณะที่อีกข้างกำลังถูกมือใหญ่บีบคลึง
แค่ถูกบีบนมทำไมมันต้องสยิวขนาดนี้
“มาร์คขอกินตรงนี้ด้วยได้มั้ย”
แล้วที่มึงจูบไปเมื่อกี้นี้มันไม่ใช่กินเหรอวะ
“อ๊ะ!!
แม่มึง จูบเบาๆ ว่าเสียวแล้ว ถูกเลียด้วยลิ้นชื้นๆ เสียวกว่าอีก
“มาร์ค”
“ครับ” ตอบรับผมอยู่หรอก แต่ลิ้นน่ะยังเลียแผลบๆ อยู่เลย กลัวความซ่านสยิวขาดห้วงหรือไง
“เสียว”
“ก็ทำให้เสียว”
พ่อมึง นี่ก็ตรงจัง ตรงเหมือนส่วนที่กำลังเบียดกันตรงกลางกายเลย
“ถอดกางเกงนะ”
มาร์คว่าเมื่อดันตัวผมให้นอนราบลงบนเตียงแล้วขยับขึ้นมาคร่อมทับอีกครั้ง มือหนาเตรียมพร้อมถอดอยู่ที่ขอบเอวแบบยางยืดแล้วแต่ผมที่ความรู้สึกกำลังตีรวนอยู่ภายในก็คว้าข้อมือเขาเอาไว้
ถึงแม้จะรู้สึกดีแต่ความกลัวก็มีมากพอกัน
“ยังไม่ทำวันนี้ได้มั้ย”
“กลัวอะไร จูเนียร์ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ”
ไม่เกี่ยวกับจูเนียร์ซักหน่อย กูกลัวเจ็บอะ เข้าใจบ้างสิวะ
“มาร์คอยากกอดจินยองนะ อยากกอดมากๆ เลย” มาร์คทิ้งทั้งตัวลงบนตัวผม เขาแนบหน้าผากกับหน้าผากของผม มองเข้ามาในดวงตาผมเหมือนแมวน้อยที่กำลังอ้อนขอขนม
แต่กูไม่ใช่ขนมรึเปล่าวะ
ผมกัดริมฝีปากครุ่นคิดอย่างหนัก
สมองส่วนหนึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับมือหนาที่ลูบไล้ปลุกเร้าผมแผ่วเบา ขณะที่สมองอีกส่วนกำลังจินตนาการถึงความเจ็บปวดตอนที่ร่างกายเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว
“โอเค ไม่ทำก็ไม่ทำ” ได้ยินเสียงมาร์คถอนหายใจ เขาขยับลงจากตัวผมง่ายๆ ทิ้งตัวลงข้างกันแล้วหันหลังให้
โกรธหรือเปล่าวะ
ปล่อยไปแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายโกรธเองแหละ
ผมเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วหลับตาลง
หลับตาแต่ก็ใช่ว่าจะนอนหลับได้ง่ายๆ ในเมื่อความรู้สึกบางอย่างยังคงค้างคาอยู่ในใจ และไอ้ของที่ตั้งโด่อยู่นี่ก็ยังคงไม่ยอมหลับลงเช่นกัน
“มาร์ค” ผมขยับเข้าไปชิด ชะโงกหน้าเข้าไปเรียกใกล้ใบหู แต่มาร์คก็ยังคงนิ่ง
หลับลงได้ยังไงวะ ก็เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อกี้ของๆ มันก็ยืนตรงเหมือนกัน
“หลับแล้วเหรอ” คราวนี้ผมกอดเขาไว้จากข้างหลัง ลองลากมือจากแผ่นท้องลงต่ำไปที่กลางกายเพื่อยืนยันว่าหลับแล้วจริงๆ
หากแต่...
“อยากโดนรึไง” มาร์คจับมือของผมไว้แล้วพลิกตัวมาเผชิญหน้ากัน
นัยน์ตาของมาร์คยังคงครุกรุ่นไปด้วยไฟรัก
ตอนนี้เองที่ผมรู้แล้วว่าคิดผิดถนัดเลยที่กวนให้เขาตื่นขึ้นมา
“จินยองผิดเองนะ มาร์คอุตส่าห์ข่มใจแล้วแต่จินยองก็ยัง...”
ริมฝีปากบดเบียดลงมา ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนคราแรก มาร์คสาดความร้อนรุ่มเข้ามาพร้อมกับเรียวลิ้นที่สอดแทรกมาในโพรงปาก
จุมพิตหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อน้ำหนักตัวกดทับลงมา เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกจากร่างกาย มือหนาลูบไล้ไปทั่วทุกสัดส่วนให้เลือดในกายพลุ่งพล่าน ปลายจมูกของมาร์คซุกไซ้ที่ซอกคอ
ริมฝีปากของเขาเลื่อนต่ำลงมาที่แผ่นอก ร่างกายของผมสะท้านไหวเมื่อจุดเล็กๆ สีเข้มถูกสัมผัสแผ่วเบาด้วยริมฝีปากนุ่มหยุ่น ความชุ่มชื้นที่ปาดเลียทำให้ร่างกายสะบัดร้อนสะบัดหนาว แผ่นหลังยกสูงขึ้นจากฟูกนอนเมื่อจุดเดิมถูกครอบด้วยอุ้งปาก
มือหนาลูบไล้ลงไปยังสีข้าง สะโพก ต้นขาด้านนอก
น้ำหนักมือกดลงที่กลางกาย มาร์คจับของๆ ผมอย่างไม่นึกรังเกียจ เป็นผมเสียเองที่อายจนต้องเอียงใบหน้าซุกซบกับหมอนใบนุ่ม
“มองหน้ามาร์คสิจินยอง” มาร์คบังคับด้วยมือที่จับปลายคาง
คนบนร่างผมไม่เหมือนมาร์คที่เคยรู้จัก ในดวงตาของเขากำลังลุกโชนไปด้วยไฟปรารถนา ใบหน้าหล่อเหลาดูดุดันประหนึ่งสัตว์ป่าที่กำลังออกล่าเหยื่อ
“อืม...”
เสียงครวญแผ่วๆ ลอดออกมาจากเรียวปากที่เม้มแน่นเมื่อปลายลิ้นปาดเลียลงบนยอดอกอีกครั้ง
มาร์คลากปลายลิ้นลงไปเรื่อยๆ ทุกที่ที่ถูกสัมผัสคล้ายกำลังถูกแผดเผาจนแทบจะมอดไหม้
เรียวลิ้นชื้นหยุดหยอกล้อที่หลุมสะดือให้สะโพกของผมยกสูงขึ้น
ผมยกมือที่เคยจิกหมอนขึ้นปิดปากเพื่อสะกดกลั้นเสียงอันน่าอายเมื่อกลางกายถูกครอบครองด้วยเรียวปาก
เหมือนถูกดึงขึ้นไปบนสวรรค์ ร่างกายของผมเบาหวิว ล่องลอยอย่างไร้ทิศทาง ยิ่งเขารุกเร้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเองมากเท่านั้น
ผมขยุ้มเส้นผมของมาร์ค
เขาเงยใบหน้าชื้นเหงื่อขึ้นมองก่อนจะปรนเปรอให้ผมอีกครั้ง
ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน
เมื่อไม่สามารถต้านทานได้ จึงต้องคล้อยตาม
เส้นผมของมาร์คนุ่มลื่นอย่างที่ไม่เคยสังเกต มือของผมกดใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ เสียงครางแผ่วๆ เปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางที่ไม่เคยคิดว่ามันจะหลุดออกมาจากเรียวปากของตน
เสียงเฉอะแฉะของลิ้นที่สัมผัสส่วนนั้นดังก้องในประสาทการรับฟัง
เท้าของผมจิกเกร็ง เรียวขาสั่น เมื่อในความมืดมิดปรากฏแสงสว่างรำไร
จังหวะรุกเร้าของริมฝีปากถี่กระชั้นขึ้น
หัวใจในอกซ้ายเต้นรัว
กระทั่ง...
“อา...”
ความสุขแผ่ซ่านไปทั่วกายเมื่อความร้อนรุ่มถูกปลดปล่อยในริมฝีปากของเขา
มาร์คเงยหน้าขึ้นมาสบตา เขายกยิ้มอย่างพึงใจก่อนที่ร่างกายของผมจะถูกสัมผัสอีกครั้ง
“มาร์ค ไม่...”
ผมยกมืออันไร้เรี่ยวแรงไขว่คว้ามือของเขาที่กำลังลูบไล้ที่บั้นท้าย
“อื้อ...”
มาร์คใช้ปลายนิ้วชุ่มชื้นลูบไล้บริเวณที่ปิดสนิทด้านหลัง ผมที่ไร้เรี่ยวแรงได้แต่นอนแผ่หลา ปล่อยให้ร่างกายสัมผัสกับความแปลกใหม่ที่เขากำลังพร่ำสอน
“เจ็บมั้ย” เขาถามเมื่อนิ้วหนึ่งถูกสอดแทรกเข้าไปภายใน
ผมพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “เจ็บ”
“ไม่เป็นไรคนดี มาร์คจะค่อยๆ ทำ” เขาดูเป็นผู้นำกว่าทุกๆ ครั้ง “ผ่อนคลายนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าเกร็งครับ”
ผมผ่อนลมหายใจออก พยายามไม่เกร็งแต่เมื่อส่วนที่ไม่เคยถูกสัมผัสถูกรุกรานมันยากมากที่จะทำเหมือนสบายดี
“มาร์ค...เจ็บ” ขอบตาของผมร้อนผ่าวเมื่อส่งมือไปจับข้อมือเขาไว้
“มาร์ครู้ๆ” มาร์คพยักหน้าและพูดซ้ำๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาคล้ายละเมอ “ถ้าจินยองไม่ไหว เราหยุดแค่นี้ก็ได้”
ได้ยินเสียงมาร์คถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร ทำต่อเถอะ” ผมคว้าไหล่มาร์คเอาไว้ มองเข้าไปในดวงตาเขาแล้วจึงกอบกุมใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ด้วยมือทั้งคู่
ผมจูบมาร์คก่อน บดเบียดริมฝีปากกับเรียวปากของเขาจนเป็นเนื้อเดียวกัน
ผมพามือของมาร์คลากต่ำลงไป
มองตาเขาทั้งที่ริมฝีปากยังคงเบียดชิด บอกผ่านความเงียบว่าผมโอเค
ความอ่อนไหวที่ปิดสนิทถูกรุกรานอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่จุมพิตของเราที่ค่อยทวีความร้อนรุ่มมากขึ้น
มาร์คสะกดผมเอาไว้ด้วยจุมพิต
ผมไม่รู้ว่านิ้วของเขาเข้าไปอยู่ในร่างกายผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเจ็บร้าวค่อยๆ ถูกเยียวยาด้วยความคุ้นชิน
“โอเคมั้ย ไหวรึเปล่า”
เรียวปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
มาร์คจุมพิตที่หน้าผากของผมก่อนจะแนบหน้าผากของเขาลงมา
เราสบตากัน ดวงตาของผมตอนนี้คงหวานเชื่อมเช่นเดียวกับเขา
“อื้อ มาร์ค”
ไม่มีทางที่จะสะกดกลั้นเสียงครวญครางได้เลยเมื่อนิ้วเรียวที่ฝังอยู่ในกายเริ่มขยับ แผ่วเบาในคราแรก และเมื่อร่างกายของผมเริ่มตอบรับด้วยการยกสะโพกขึ้น เขาก็ยิ่งย้ำ หนักหน่วงและรุนแรงเสียจนร่างกายของผมแทบจะปริแตกอีกครั้ง
“มาร์คเข้าไปได้มั้ย”
หยาดเหงื่อที่ปลายจมูกของมาร์คหยดลงบนใบหน้าของผม
ท่อนขาถูกแยกกว้างเมื่อนิ้วเรียวถอนออก
“เดี๋ยวมาร์ค เดี๋ยว...”
ผมจับสะโพกของเขาไว้เมื่อความร้อนรุ่มจดจ่อยังบริเวณที่เปียกแฉะ
ผมกลัว
“มาร์คจะค่อยๆ ทำ ไว้ใจมาร์คใช่มั้ย”
ไม่รู้...
เสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากซึ่งกำลังอ้าเผยอถูกกลืนไปด้วยเรียวปากที่ทาบทับลงมา
มาร์คหลอกล่อผมด้วยเรียวลิ้นร้ายกาจอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ความใหญ่โตที่กำลังแทรกเข้ามานั้นสร้างความเจ็บปวดมากกว่านิ้วเสียจนผมไม่สามารถเพิกเฉยได้อีก
ผมจิกแผ่นหลังมากอย่างแรง พยายามดิ้นให้พ้นจากพันธนาการของเขา
มันเจ็บ เจ็บมาก เจ็บกว่าตอนยกพวกตีกับเด็กช่างกลตอนเรียนมัธยมเสียอีก
“ไม่เป็นไรเด็กดี อย่าเกร็งครับ” มาร์คปลอบประโลมผมด้วยคำพูด แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อเขายังพยายามแทรกกายเข้ามา
กระทั่ง...
ความเจ็บปวดวิ่งพล่านไปทั่งทั้งร่างกายเมื่อส่วนที่ใหญ่โตที่สุดแทรกเข้ามาสำเร็จ มันเจ็บร้าวกว่าตอนถูกตีหัวแล้วถูกเย็บหลายสิบเข็ม
มาร์คนิ่งค้าง ผมเองก็นิ่งงัน
เราปล่อยให้เวลาค่อยๆ เยียวยา
มาร์คแนบลำตัวเปียกชื้นลงบนแผ่นอกของผม ความร้อนรุ่มค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาอีกครั้งจนสุด
“ยังเจ็บอยู่มั้ย”
แน่นอนว่าผมพยักหน้าทันที
“นิดหน่อย” ความเจ็บร้าวผ่อนคลายลงเมื่อร่างกายเริ่มปรับสภาพได้หลังจากส่วนที่ใหญ่โตที่สุดเหยียบย่ำเข้ามาภายใน
“มาร์คขยับได้มั้ย” ดวงตาของมาร์คกำลังอ้อนวอนและเมื่อผมพยักหน้าสะโพกสอบก็เริ่มขยับช้าๆ
ความสุขค่อยๆ เติมเต็มในร่างกาย
มาร์คจูบผมอีกครั้ง เพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นพร้อมกับสะโพกที่กำลังขยับขึ้นลง
เหมือนมาร์คกำลังแผดเผาร่างกายของผม มันร้อนรุ่มแต่ถึงอย่างนั้นแทนที่จะตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดแต่ผมกลับเบียดกายเข้าหาเขา ยกสะโพกขึ้นรับสัมผัสที่เริ่มหนักแน่นมากขึ้น
ดวงตาของมาร์คดูเคลิบเคลิ้มเปี่ยมไปด้วยความสุขสม เสียงผิวกายที่เสียดสีดังประสานกับเสียงเตียงนอนที่กำลังสั่นจากแรงขยับของร่างกายที่กำลังกอดเกี่ยวประสานเป็นหนึ่ง
เสียงหอบหายใจดังให้รู้ว่าเราทั้งคู่ยังคงมีชีวิตอยู่
“จินยอง...” เขาเรียกทั้งที่สะโพกสอบกำลังขยับออกให้ผมยกสะโพกตาม
“หืม”
“มีความสุขจัง” เขายิ้มแล้วกดสะโพกลงมาให้เสียงครวญครางดังจากเรียวปากของผม
มาร์คยิ้มร้ายกาจ มือเรียวลูบไล้ไปตามท่อนขาของผม ยกมันขึ้นเกี่ยวที่เอวแล้วกดกายให้จมลึกลงมาอีก
มันลึกมากจนผมแทบขาดใจ
“ตรงนี้เหรอ”
มาร์คเบียดสะโพกลงมา ให้สัมผัสกับจุดเร้าอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
ใบหน้าของผมบิดเบี้ยว แขนทั้งสองข้างกอดรัดมาร์คเอาไว้เช่นเดียวกับขาที่เกี่ยวเอวอีกฝ่ายแน่น
ยิ่งเสียงที่บ่งบอกถึงความสุขสมดังมากขึ้นเท่าไหร่ แรงที่มาร์คย้ำลงมาก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเท่านั้น
“มาร์ครักจินยองนะ”
เสียงพร่ากระซิบที่ข้างหู มือหนาที่กำลังปรนเปรอทำให้ผมแทบจะปริแตก
“อื้อ” และไม่นานเลยผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง
ผมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หยาดเหงื่อที่หยดลงบนแก้มทำให้ผมลืมตามองมาร์คอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลากำลังบิดเบี้ยวด้วยความต้องการ
ผมยกมือขึ้นกอดเขา จับสะโพกแล้วบังคับให้กดกายลงมา
จังหวะการขยับสะโพกของมาร์ครุนแรงขึ้นให้ผมยกสะโพกรองรับความต้องการของเขา
เปลวไฟแห่งความปรารถนาพัดโหมขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายของผมที่กำลังจะมอดไหม้ถูกรินรดด้วยของเหลวที่ถูกปลดปล่อยออกมา
มาร์คทิ้งกายลง เขาซบหน้าลงบนแผ่นอกของผม
เสียงครางแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหายใจเมื่อไฟรักมอดดับลง
ความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาค่อยๆ ปิด
เสียงมาร์คดังแผ่วๆ ชิดแผ่นอกว่า...รัก
ก็ต้องยอมรับว่าผมเองก็รักเขาเช่นกัน




[-T B C-]


อ่านจบแล้วรบกวนกลับไปคอมเมนต์ด้วยค่าาาา :)

แจ๊ส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น